แบบฝึกหัดบทที่ 6 การสืบค้น และการติดต่อสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต
แหล่งสารสนเทศ หมายถึง
สถานที่ที่มีสารสนเทศสะสมอยู่
และเปิดโอกาสให้บุคคลสามารถเข้าใช้สารสนเทศเหล่านั้นได้ แบ่งได้เป็น 6 ประเภท ดังนี
1. แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถาบัน จำแนกได้ดังนี้
· ห้องสมุด (Library) คือสถานที่รวมทรัพยากรสารสนเทศสาขาวิชาต่าง ๆ
ที่อยู่ในรูปของวัสดุตีพิมพ์และวัสดุไม่ตีพิมพ์
รวมทั้งฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมีบรรณารักษ์เป็นผู้บริหารงาน และดำเนินงานต่าง ๆ
เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ห้องสมุด
· ศูนย์สารสนเทศ (Information Center) แหล่งสารสนเทศประเภทนี้แต่ละแหล่งมีชื่อต่าง ๆ
กัน อย่างไรก็ตามล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อบริการสารสนเทศเฉพาะสาขาวิชา เช่น
ศูนย์สารสนเทศทางการเกษตรแห่งชาติ ศูนย์เอกสารประเทศไทย ศูนย์ข้อมูลทางเทคโนโลยี
และศูนย์สารนิเทศอีสานสิรินธร
2. แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถานที่ ได้แก่ อนุสาวรีย์ โบราณสถาน
อุทยานแห่งชาติรวมถึงสถานที่จำลองด้วย เช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ปราสาท หินพิมาย เมืองโบราณ เป็นต้น
แหล่งสารสนเทศเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าอย่างยิ่ง
ทั้งยังเป็นแหล่งที่เข้าถึงได้ไม่ยากนัก
ข้อด้อยของแหล่งสารสนเทศที่เป็นสถานที่ก็คือ สถานที่บางแห่งอยู่ไกล
การเดินทางไปสถานที่แห่งนั้นต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก
3. แหล่งสารสนเทศที่เป็นบุคคล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้รอบรู้ในสาขาต่างๆ
ผู้ต้องการ สารสนเทศจากบุคคลต้องไปพบปะสนทนาหรือสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญนั้นโดย ตรงจึงจะได้สารสนเทศที่ต้องการ
4. แหล่งสารสนเทศที่เป็นเหตุการณ์ ได้แก่ กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น
การประชุมการสัมมนาในเรื่องต่าง ๆ นิทรรศการหรืองานแสดงต่างๆ
รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ เช่น "14 ตุลา"ในปี พ.ศ. 2516
"พฤษภาทมิฬ" ในปี
พ.ศ. 2535 เป็นต้น
5. ศูนย์บริการสารสนเทศแบบซีดีรอม และแบบออนไลน์ ศูนย์บริการประเภทนี้มีวิวัฒนาการ
สืบเนื่องมาจากศูนย์สารสนเทศที่ได้อธิบายไปข้างต้น เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ
ก้าวหน้ามากขึ้น ศูนย์ฯ จึงนำ IT มาเป็นเครื่องมือ ในการให้บริการแก่ลูกค้า
เพราะสามารถให้บริการได้สะดวกและรวดเร็วกว่า IT ที่
ศูนย์บริการสารสนเทศนำมาใช้มีทั้งการจัดทำเป็นซีดีรอมให้ผู้ขอซื้อบริการ
ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ บรรดาห้องสมุดต่างๆ และการจัดบริการออนไลน์ ให้ห้องสมุดต่างๆ
ใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาบทความ ในฐานข้อมูลที่ศูนย์ได้จัดทำขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ซีดีรอมนั้น มีปัญหาในเรื่อง
ความสมบูรณ์ และทันสมัยของเนื้อหา ดังนั้นจึงนิยมใช้การค้นแบบออนไลน์มากกว่า
แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
6. อินเทอร์เน็ต เป็นแหล่งสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสถาบันวิจัย
มหาวิทยาลัย สำนักข่าวสาร และสมาคมวิชาชีพ
ต่างก็จัดทำข้อมูลประชาสัมพันธ์ออกมาเผยแพร่เป็นจำนวนมาก
จึงทำให้อินเทอร์เน็ตประกอบด้วยข้อมูลและสารสนเทศมากมาย การที่จะได้มาซึ่ง
ข้อมูลที่ต้องการจึงต้องรู้ที่อยู่ของเว็บไซต์ที่ต้องการ
โดยเครื่องมือหนึ่งที่มีประโยชน์ในการค้นหาที่อยู่ของเว็บไซต์ที่ต้องการคือ Search
Engine ซึ่งมีหลายลักษณะ คือ
· Major
Search Engine - Search Engine ที่มีฐานข้อมูลเป็นของตัวเอง เป็น Search Engine ชั้นนำ เพื่อค้นหาเว็บไซต์ที่ต้องการ เช่น
Google.com,Yahoo.com
· Meta
Search Engine - Search Engine ที่ไม่มีฐานข้อมูลเป็นของตนเองแต่อาศัยฐานข้อมูลจาก Search
Engine อื่น ๆ หลายแห่งมาแสดง
· Directory
Search Engine - Search Engine ประเภทหนึ่ง ที่มีการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นหมวดหมู่
การสืบค้นข้อมูลด้วย Search Engine
ในโลกของ Internet ข้อมูลมีมากมายเหลือเกิน ถ้าจะใช้เวลาในการอ่านทุกสิ่งบน Internet คงต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคน
จริงแล้ว
เราคงไม่มีความสนใจในทุกเรื่อง
แต่คงสนใจเฉพาะเรื่องที่เราสนใจเท่านั้น จึงมีคนคิดเครื่องมือในการช่วยค้นหาข้อมู
ลที่ต้องการ
นั้นก็คือ Search Engine นั่นเอง
การค้นหาข้อมูลมี 2 วิธี 1. การค้นหาในรูปแบบ Index Directory 2. การค้นหาในรูปแบบ Search Engine การค้นหาในรูปแบบ Index Directory วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index นี้ข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการค้นหาข้อมูลด้วย วิธีขิง Search Engine
โดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็นหมวดหมู่ และจัดแบ่งแยก Site ต่างๆออก เป็นประเภท สำหรับวิธีใช้งาน
คุณสามารถที่จะ Click เลือกข้อมูลที่ต้องการจะดูได้เลยใน Web
Browser จากนั้นที่หน้าจอก็จะแสดงรายละเอียด
ของหัวข้อปลีกย่อยลึกลงมาอีกระดับหนึ่ง
ปรากฏขึ้นมาให้เราเลือกอีก ส่วนจะแสดงออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหน
อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของฐานข้อมูลใน Index ว่าในแต่ละประเภท
จัดรวบรวมเก็บเอาไว้มากน้อยเพียงใด
เมื่อคุณเข้าไปถึงประเภทย่อยที่คุณสนใจแล้ว
ที่เว็บเพจจะแสดงรายชื่อของเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ ประเภทของข้อมูลนั้นๆ
ออกมา หากคุณคิดว่าเอกสารใดสนใจหรือต้องการอยากที่จะดู สามารถ Click ลงไปยัง Link เพื่อขอเชื่อต่อทางไซต์
ก็จะนำเอาผลของข้อมูลดังกล่าวออกมาแสดงผลทันที นอกเหนือไปจากนี้
ไซต์ที่แสดงออกมานั้นทางผู้ให้บริการ
ยังได้เรียบเรียงโดยนำเอา Site ที่มีความเกี่ยว
ข้องมากที่สุดเอามาไว้ตอนบนสุดของรายชื่อที่แสดง
การค้นหาในรูปแบบ Search Engine วิธีการอีกอย่างที่นิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้ Search Engine ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่กว่า 70% จะใช้วิธีการค้นหาแบบนี้
หลักการทำงานของ Search Engine จะแตกต่างจากการใช้ Indexลักษณะของมันจะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่มหาศาล
ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปบน Internet ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลำดับขั้นของความสำคัญ
การใช้งานจะเหมือน
การสืบค้นฐานข้อมูล อื่นๆคือ คุณจะต้องพิมพ์คำสำคัญ (Keyword) ซึ่งเป็นการอธิบายถึงข้อมูลที่คุณต้องการจะเข้าไป
ค้นหานั้นๆเข้าไป จากนั้น Search Engine ก็จะแสดงข้อมูลและ Site ต่างๆที่เกี่ยวข้องออกมา
ข้อแตกต่างระหว่าง Index และ Search Engine คำตอบก็ คือวิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index เค้าจะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทำระบบฐานข้อมูลขึ้นมา ส่วนแบบ
Search Engine นั้นระบบฐานข้อมูลของมันจะได้รับการจัดสร้างโดยใช้ Software ที่มี หน้าที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้
โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุมและจัดการ ซึ่งเจ้า Software ตัวนี้จะมี ชื่อเรียกว่า Spiders การทำงานข้องมันจะใช้วิธีการ
เดินลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่างๆที่เชื่อมโยงถึงกันอยู่เต็มไปหมดใน Internet เพื่อค้นหา Website ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ
รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบหาความเปลี่ยนแปลงของ ข้อมูลใน Site เดิมที่มีอยู่ ว่าที่ใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง
จากนั้นมันก็จะนำเอาข้อมูลทั้งหมดที่สำรวจเข้ามา
ได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ ยกตัวอย่าง
ของผู้ให้บริการประเภทนี้เช่น Excite , Lycos
Infoserch เป็นต้น
การค้นหาด้วยวิธี Search Engine นั้นมักจะได้ผลลัพธ์
ออกมากว้างๆชี้เฉพาะเจาะจงได้ยาก บางครั้งข้อมูลที่ ค้นหามาได้อาจมีถึงเป็นร้อยเป็นพัน Site แล้วมีใครบ้างหละ
ที่อยากจะมานั้งค้นหาและอ่านดูที่จะเพจ ซึ่งคง
ต้องเสียเวลาเป็นวันๆแน่ ซึ่งก็ไม่รับรองด้วยว่าคุณจะได้ข้อมูล
ที่คุณต้องการหรือไม่ ดังนั้นจิงมีหลักในการค้น หา
เพื่อให้ได้ข้อมูลใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด
ซึ่งจะขอกล่าวในตอนหลัง
หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Enine สำหรับหลักในการค้นหาข้อมูลของ Search Engine แต่ละตัวจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าทางศูนย์บริการ
ต้องการจะเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีกลไกใน
การค้นหาที่ใกล้เคียงกัน หากจะแตกต่า
งก็คงจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล
เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาดไหน
และพอจะนำเอาออกมาบริการ
ให้กับผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปล่า
ซึ่งลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้
การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซต์ต่างๆ การค้นหาจากคำที่มีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้าน ซ้ายบนของหน้าต่างที่แสดง การค้นหาจากคำสำคัญหรือคำสั่ง keyword (อยู่ใน tag คำสั่งใน html ที่มีชื่อว่า meta) การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ site ค้นหาคำในหน้าเว็บเพจด้วย Browser การค้นหาคำในหน้าเว็บเพจนั้นจะใช้สำหรับกรณีที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูลที่เว็บเพจใด เว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีข้อความ
ปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่สะดวก
ในลักษณะนี้เราใช้ใช้ browser ช่วยค้นหาให้ ขึ้นแรกให้คุณนำ
mouse ไป click ที่ menu Edit แล้วเลือกบรรทัดคำสั่ง Find
in Page หรือกดปุ่ม Ctrl
+ F ที่ keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่คำ
ที่ต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็จะวิ่งหาคำดังกล่าว
หากพบมันก็จะกระโดดไปแสดงคำนั้น
ๆ ซึ่งคุณสามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อค้นหาต่อได้
อีกจนกว่าคุณจะพบข้อมูลที่ต้องการ
การค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine Click ที่ปุ่ม Serch บนแถบเครื่องมือหรือ click ที่ menu Edit แล้วเลือกคำสั่ง Search Internet ก็จะปรากฏหน้าจอ เลือก Search Engine ที่คุณต้องการ ( จากภาพตัวอย่างเลือกไว้ใน infoseek) ใส่คำที่คุณต้องการจะค้นหาลงไปในช่องยาวๆ (text box) ที่มีสร้างเอาไว้ให้ คลิ๊กที่ปุ่ม Seek (กรณีเลือก Search Engine ที่อื่นอาจจะไม่ได้ใช้คำนี้ก็ได้แล้ว แต่ที่คุณเลือก โปรแกรมจะเริ่มค้นหาคำนั้นๆให้ ตอนนี้คุณก็รอสักพักนึงก่อน จากนั้นรายชื่อของเว็บเพจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ระบุ
จะถูกแสดงออกมาในรูปแบบของลิ้งค์พร้อมคำอธิบายประกอบนิดหน่อย
ให้เราอ่านเพื่อใช้ในการตัดสินใจว่ามันเกี่ยวข้อง
กับข้อมูลที่เราต้องการหรือเปล่า
ส่วนใหญ่ข้อมูลที่พบมีมากจนเกินกว่าที่จะแสดงให้เห็นหมดในหน้าเดียว
มันจะมีตัวแบ่งหน้าให้เราทางด้าน
ล่างสำหรับเลือกไปดูรายละเอียดส่วนอื่นๆที่เหลือในหน้าถัดๆไป
แต่โดยมากแล้วข้อมูลที่ใกล้เคียง
กับคำที่เราต้องการมากที่สุดจะอยู่ในช่วงต้นๆ ของรายการแรกที่ Search
Engine
นั้นๆตรวจพบ
เทคนิค 8 ประการที่ควรรู้ในการค้นหาข้อมูล ในการค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่ผู้ใช้งานทั่วไปมักจะพบเห็น หรือประสบอยู่เสมอๆ
ก็คงจะหนีไปไม่พ้นข้อมูลที่ค้นหาได้มีขนาดมากจนเกินไป
ดังนั้นเพื่อ ความสะดวกในการใช้งานคุณจึงน่าที่จะเรียนรู้
เทคนิคต่างๆเพื่อช่วยลดหรือจำกัดคำที่ค้น หาให้แคบลงและตรงประเด็นกับเรามากที่สุด
เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด(อย่างที่ผมได้เคยบอก ไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่ามีอยู่ 2 แบบ)
ส่วนจะเลือกใช้วิธีไหนก็ตามแต่คุณจะเห็นว่า เหมาะสม
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการจะค้นหาข้อมูลที่มีลักษณะทั่วไป
ไม่ชี้ เฉพาะเจาะจง ก็ควรเลือกบริการสืบค้นข้อมูลแบบ Index อย่างของ yahoo เพราะ โอกาสที่จะเจอนั้น เปอร์เซ็นต์สูงกว่า
จะมานั่งสุ่มหาโดยใช้วิธีแบบ Search Engine
ใช้คำมากกว่า 1 คำที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกันช่วยค้นหา เพราะจะได้ผลลับที่มีขนาด แคบลงและชี้เฉพาะมากขึ้น
(ย่อมจะดีกว่าหาคำเดียวโดดๆ)
ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะด้าน เช่นการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของ ภาพยนตร์ก็น่าที่จะเลือกใช้ Search Engine
ที่ให้บริการใกล้เคียงกับเรื่องพวกนี้
เพราะผลลับที่ได้น่าจะเป็นที่น่าพอใจกว่า
ใส่เครื่องหมายคำพูดครอบคลุมกลุ่มคำที่ต้องการ เพื่อบอกกับ Search Engine ว่าเรา ต้องการผลการค้นหาที่มีคำในกลุ่มนั้นครบ
และตรงตามลำดับที่เราพิมพ์ทุกคำ เช่น "free
shareware" เป็นต้น
การขึ้นต้นของตัวอักษรตัวเล็กเท่ากันหมด Search Engine จะเข้าใจว่าเราต้องการ ให้มันค้นหาคำดังกล่าวแบบไม่ต้องสนใจ
ว่าตัวอักษร
ที่ได้จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่
ดังนั้นหากคุณต้องการอยากที่จะให้มันค้นหาคำตรงตามแบบที่เขียนไว้ก็ให้ใช้ตัวอักษรใหญ่แทน
ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic หรือตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยค้นหา มีอยู่ 3 ตัวด้วยกันคือ - AND สั่งให้หาโดยจะต้องมีคำนั้นๆ
มาแสดงด้วยเท่านั้น!
โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องติดกัน เช่น phonelink AND
pager เป็นต้น - OR สั่งให้หาโดยจะต้องนำคำใดคำหนึ่งที่พิมพ์ลงไป
มาแสดง - NOT
สั่งไม่ให้เลือกคำนั้นๆมาแสดง เช่น food
and cheese not butter หมายความว่า ให้ทำการหาเว็บที่เกี่ยวข้องกับ food และ
cheese
แต่ต้องไม่มี butter เป็นต้น
ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ + หน้าคำที่ต้องการจริงๆ - (ลบ)ใช้นำหน้าคำที่ไม่ต้องการ () ช่วยแยกกลุ่มคำ เช่น
(pentium+computer)cpu
ใช้ * เป็นตัวร่วม เช่น com* เป็นการบอกให้หาคำที่มีคำว่า com ขึ้นหน้าส่วนด้านท้ายเป็น อะไรไม่สนใจ *tor เป็นการให้หา
คำที่ลงท้ายด้วย tor ด้านหน้าจะเป็นอะไรไม่สนใจ
|
เทคนิคการค้นหา
การใช้งานใน Search Engine ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Yahoo เองจะมีลักษณะการใช้งานไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก
แต่ผลลัพธ์อาจได้ไม่ตรงกันทั้งนี้ขึ้นกับความสำคัญในการจัดเก็บของแต่ละเว็บอย่างไรก็ตามเรามาศึกษาในแต่ละวิธีก่อนดีกว่า
วิธีการค้นหาข้อมูล
1. เข้าไปยังเว็บไซต์ที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น Google.com
2. พิมพ์ข้อความลงในช่องว่างที่มี ตัวอย่างเช่น
"software computer"
3. คลิกปุ่ม "ค้นหาโดย Google"
4. จะได้หน้าต่างดังภาพ
5. อ่านรายละเอียด
และคลิกเลือกเว็บไซต์ที่ต้องการ
6. ถ้าต้องการค้นหาเฉพาะรูปภาพ
ให้คลิกเลือกหัวข้อด้านบน "รูปภาพ"
เทคนิคการค้นหา
จะแสดงผลในช่วงต้นๆ
และมีคำว่า computer และคำว่า Apple ประกอบกันด้วย
|
||
File Transfer Protocal :
FTP
FTP คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ FTP หมายถึง การดาวน์โหลด หรือย้ายไฟล์ในระบบอินเตอร์เน็ตมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกันก็สามารถนำไฟล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปไว้ในพื้นที่เก็บข้อมูลโดยผ่านโปรแกรม FTP สามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้หลายประเภทแล้วแต่ว่าผู้ใช้จะต้องการใช้งานไฟล์ประเภทใด จุดเด่นสามารถนำไปใช้รวมกับระบบการการทำเว็บไซต์ , เป็นช่องทางเก็บหรือส่งข้อมูลหาลูกค้าหรือภายในองค์กรได้ ที่ webmaster ใช้ นั่นคือ การ ftp อัพไฟล์ ขึ้นโฮส (host) เอฟทีพี (FTP) ย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า File Transfer Protocal : FTP หมายถึง การดึงไฟล์จากคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราหรือของผู้ใช้คนอื่น โดยปกติการดึงไฟล์จากอินเทอร์เน็ต เราจะต้องติดต่อไปยังผู้ให้บริการ ซึ่งเรียกว่า เอฟทีพีไซต์ (FTP Site) เอฟทีพีไซต์ที่สำคัญในอดีตจะเป็นหน่วยงานของรัฐบาล หรือมหาวิทยาลัย FTP เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับ upload/download หรือดูโครงสร้างของไฟล์และ directory ใน Server เอฟทีพีมีอยู่ 2 ประเภท FTP ประเภท ที่ 1 คือ ไพรเวทเอฟทีพี (Private FTP) หรือเอฟทีพีเฉพาะกลุ่ม นิยมใช้ตามสถานศึกษาและภายในบริษัท ผู้ใช้บริการจะต้องมีรหัสผ่านเฉพาะจึงจะใช้งานได้ FTP ประเภทที่2 คือ อะโนนีมัสเอฟทีพี (Anonymous FTP) เป็นเอฟทีพีสาธารณะให้บริการดึงไฟล์ฟรีโดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน เราสามารถติดต่อเว็บไซต์เหล่านี้ได้โดยผ่านเว็บเบราเซอร์ ซึ่งปัจจุบันเว็บไซต์สาธารณะมีอยู่เป็นจำนวนมาก การใช้เอฟทีพีมีจุดมุ่งหมายหลักก็คือ การนำเอาไฟล์ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตมาใช้งาน ข้อมูลเหล่านั้นอาจเป็นข้อมูลตัวหนังสือ รูปภาพ เสียง วิดีโอ หรือโปรแกรมสำเร็จรูป โดยเฉพาะโปรแกรมใหม่ๆ ที่บริษัทต่างๆ คิดค้นขึ้นมาและต้องการเผยแพร่ไปสู่สาธารณชน ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคนใดที่สนใจก็สามารถใช้เอฟทีพีดึงเอาโปรแกรมเหล่านั้นมาใช้งานได้ ประเภทของแฟ้มข้อมูล ไฟล์ที่เราสามารถดึงมาใช้งานได้นั้น แบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังนี้ - ไฟล์ข้อความ (Text File) เป็นไฟล์ที่แพร่หลายมากที่สุดในอินเทอร์เน็ต โดยจะบรรจุข้อความตัวอักษรภาษาต่างๆ เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน และอื่นๆ เป็นต้น ปัจจุบันเวิลด์ไวด์เว็บนิยมใช้ไฟล์ข้อความมาก เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร อีเมล์ เป็นต้น การสังเกตไฟล์ข้อความดูได้จากนามสกุล คือ .txt , .doc , .html เป็นต้น การดึงไฟล์ข้อความจากอินเทอร์เน็ตทำได้ง่าย ใช้เวลาน้อย เพราะมีขนาดไม่ใหญ่มาก - ไฟล์ภาพ (Graphics) เป็นภาพประกอบบนเว็บเพจ นิยมใช้กันมากรองจากไฟล์ข้อความ โดยปกติไฟล์ภาพจะมีขนาดใหญ่ การดึงไฟล์จึงต้องใช้เวลานานกว่าปกติ ตัวอย่างไฟล์สังเกตได้จากนามสกุลไฟล์ เช่น .bmp , .jpg , .gif เป็นต้น - ไฟล์เสียง ไฟล์เสียงได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะไฟล์เสียงจาก real Audio ที่ให้เสียงต่อเนื่องเหมืนฟังรายการเพลงจากวิทยุทั่วไป และไฟล์ประเภท Mp3 ซึ่งเป็นเพลงต่างๆ ทั้งภาาาไทยและภาษาอังกฤษ ไฟล์เสียงที่นิยมใช้ประกอบในหน้าเว็บเพจ ตัวอย่างไฟล์เสียง เช่น .au , .ra , .ram , .wav เป็นต้น - ไฟล์เสียง ไฟล์เสียงได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะไฟล์เสียงจาก real Audio ที่ให้เสียงต่อเนื่องเหมืนฟังรายการเพลงจากวิทยุทั่วไป และไฟล์ประเภท Mp3 ซึ่งเป็นเพลงต่างๆ ทั้งภาาาไทยและภาษาอังกฤษ ไฟล์เสียงที่นิยมใช้ประกอบในหน้าเว็บเพจ ตัวอย่างไฟล์เสียง เช่น .au , .ra , .ram , .wav เป็นต้น - ไฟล์เสียง ไฟล์เสียงได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะไฟล์เสียงจาก real Audio ที่ให้เสียงต่อเนื่องเหมืนฟังรายการเพลงจากวิทยุทั่วไป และไฟล์ประเภท Mp3 ซึ่งเป็นเพลงต่างๆ ทั้งภาาาไทยและภาษาอังกฤษ ไฟล์เสียงที่นิยมใช้ประกอบในหน้าเว็บเพจ ตัวอย่างไฟล์เสียง เช่น .au , .ra , .ram , .wav เป็นต้น สรุป สั้น ว่า FTP คืออะไร FTP คือ FTP เป็นการ upload/download หรือดูโครงสร้างของไฟล์และ directory ใน Server FTP ย่อมาจาก File Transfer Protocal เป็น Protocal ที่ใช้ ในการส่งไฟส์ เป็นบริการคัดลอกข้อมูลข้ามเครือข่าย โดย ใช้ในการส่งข้อมูลจากเครื่องลูกไปยังเครื่องแม่ข่าย (Server) ใช้ในการดาวน์โหลดข้อมูล จากเครื่องแม่ข่าย มาไว้ที่เครื่องลูก การใช้บริการ FTP สามารถทำได้ทั้งผู้ที่เป็นสมาชิก FTP Server และบุคคลภายนอก ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก โดยสามารถเข้าไปใช้บริการได้ (บางประเภท) ในนาม anonymous ปัจจุบันการใช้บริการ FTP สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบ Text Mode ผ่าน Unix ด้วยคำสั่ง get, put หรือ Graphics Mode ผ่าน Microsoft Windows เช่น การใช้โปรแกรม WinFTP Light, CuteFTP และ ของฟรี FTP Open Source ที่ใช้กันบ่อย Filezilla การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ FTP หมายถึง การดาวน์โหลด หรือย้ายไฟล์ในระบบอินเตอร์เน็ตมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกันก็สามารถนำไฟล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปไว้ในพื้นที่เก็บข้อมูลโดยผ่านโปรแกรม FTP สามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้หลายประเภทแล้วแต่ว่าผู้ใช้จะต้องการใช้งานไฟล์ประเภทใด จุดเด่นสามารถนำไปใช้รวมกับระบบการการทำเว็บไซต์ , เป็นช่องทางเก็บหรือส่งข้อมูลหาลูกค้าหรือภายในองค์กรได้
E-Mail
E-Mail ย่อมาจาก EIectronic-Mail คือ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้รับส่งกันโดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (สำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคือ Internet )การใช้งานก็เหมือนกับเราพิมพ์ข้อความในโปรแกรม word จากนั้นก็คลิกคำสั่ง เพื่อส่งออกไป โดยจะมีชื่อของผู้รับ ซึ่งเราเรียกว่า E-mail Address เป็นหลักในการรับส่ง แต่ถ้าในกรณีที่เป็นการส่งอีเมล หรือข้อความโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้รับ เราเรียกว่า Spam และเรียก อีเมลนั้นว่าเป็น spam mail ประโยชน์ของ E-Mail 1.รวดเร็ว เชื่อถือได้ 2.ประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่ง และลดการใช้กระดาษ 3.ลดเวลาในการส่งเอกสารลง เพราะผู้ส่งไม่ต้องเสียเวลาไปส่งเอง หรือรอไปรษณีย์ไปส่งให้ 4.ผู้ส่งสามารถส่งเอกสารได้ตลอดไม่จำกัดเวลา หรือระยะทางในการส่ง ในขณะที่ผู้อ่านก็สามารถเปิดอ่านเอกสารได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน 5.สามารถส่งต่อกันได้สะดวก และผู้ส่งสามารถส่งให้ผู้รับได้พร้อมๆกันหลายคนในเวลาเดียวกัน
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น